ภาวะแบบนี้ (สงคราม-ศก.ซบเซา) ยังต้องทำงาน IR อยู่หรือไม่?

24 พฤศจิกายน 2566

ตอนนี้กระแสเสียงที่ได้ยินจากบรรดาผู้บริหารคือ คำถามที่ว่า..จะทำงาน IR-PR ต่อดีมั้ย? เพราะทำยังไงก็ไม่เห็นว่าราคาหุ้นจะกระเตื้องขึ้นเลย

ก่อนที่จะตอบคำถามเรื่องนี้..อยากจะเล่าบางประเด็นให้ฟังก่อนค่ะ ช่วงก่อนหน้านี้ “ไออาร์ เน็ตเวิร์ค” เคยทำแบบสำรวจความเห็นจากนักลงทุนว่า มีเหตุผลใดบ้างที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจขายหุ้นออกมา?

น้ำหนักของคำตอบอันดับต้นๆ คือ “จะตัดสินใจขายหุ้นตัวที่ได้รับข่าวมูลข่าวสารน้อยออกไปก่อน” เพราะเสมือนว่ากำลังลงทุนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ด้วยไม่รู้เลยว่าหุ้นที่ตนเองลงทุนอยู่นั้น ผู้บริหารมีแนวคิดอย่างไร บริษัทมีการลงทุนอะไร-อย่างไรบ้าง การบริหารจัดการด้านต่างๆ เป็นอย่างไร ที่สำคัญเป้าหมายหรือการวางแนวโน้มอนาคตไว้แบบใด สรุปคือไม่สามารถประเมินได้ว่าหุ้นตัวนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยง จึงต้องขายหุ้นแบบนี้ออกไปก่อน

นักลงทุนให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า ในหุ้นบางตัวแม้ว่าผลประกอบการจะลดลง แต่หากมีการสื่อสารออกมาให้ทราบว่าสาเหตุที่ลดลงเป็นเพราะอะไร และบริษัทมีแนวทางการแก้ไข หรือ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจอย่างไรบ้าง รวมถึง VISION ของผู้บริหารต่อวิกฤติที่เกิดแต่ละรอบนั้นเป็นอย่างไร

ในจังหวะนี้ พี่ยังมองไม่เห็นทรงของตลาดหุ้นที่จะฟื้นตัวในระยะเวลาอันสั้นได้ ผลพวงเกี่ยวเนื่องยาวววว มาตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่จบ ก็มีสงครามใหม่ อิสราเอล-ฮามาส ที่ดุเดือดเพิ่มดีกรีความร้อนแรงเข้าไปอี๊กกกกก ไหนจะปัญหาเรื่องเงินเฟ้อของสหรัฐที่ยังแก้ไม่ได้ เศรษฐกิจที่ซบเซา ราคาน้ำมันแพงและผันผวน เงินบาทอ่อนค่า มองไปทางไหนก็มีแต่ปัจจัยลบ ภาพรวมของตลาดหุ้นทั้งโลกปรับตัวลดลง จึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติแต่อย่างใด..ฉะนั้นถ้าราคาหุ้นจะลดลงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

นักลงทุนมีการลงทุนหลากหลายรูปแบบทั้ง สั้น-กลาง-ยาว ในหุ้นแต่ละตัวจะมีทั้งสามกลุ่มนี้รวมอยู่ด้วยกัน แต่พี่เชื่อว่าทุกบริษัทน่าจะต้องการผู้ถือหุ้นที่เข้าใจธุรกิจ มีความตั้งใจลงทุนระยะยาว และมองหุ้นคุณค่าที่แท้จริงของบริษัท พร้อมที่จะเดินเคียงคู่และเติบโตไปด้วยกัน

ต่างคน-ต่างแนวคิดในเรื่องการทำงาน IR-PR ในห้วงเวลาเช่นนี้ แต่สำหรับพี่เห็นว่า “ไม่ควรหยุด” การสื่อสารข้อมูลไปยังนักลงทุน..เพียงเพราะความคิดที่ว่า ทำไปแล้วไม่เห็นหุ้นจะขึ้นเลย-ทำไปก็ป่าวประโยชน์ เพราะประเด็นสำคัญของการทำงาน IR คือเป็นการสื่อสารเพื่อสร้าง Trust หรือการสร้างความน่าเชื่อถือ หรือ เชื่อมั่นให้เกิดแก่กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อหุ้นของท่าน ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร เพราะนักลงทุนนั้นต้องใช้เวลาศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดในทุกมิติ ทั้งเรื่อง VISION และความสามารถของผู้บริหาร+การดำเนินธุรกิจ+โครงสร้างการถือหุ้น+แผนการเติบโตในอนาคต+ฐานะทางการเงิน+มิติอื่นๆ อาทิ เรื่องธรรมภิบาล เป็นต้น แต่ในท้ายที่สุดเมื่อเค้าตัดสินใจเข้าลงทุน โดยเปลี่ยนสถานะ “จากนักลงทุน-สู่-ผู้ถือหุ้น” เค้าจะเป็นคนที่ใช่สำหรับท่านแน่นอน