บทความน่ารู้จาก CEO
ตลาดหุ้นสาหัสขนาดนี้! ควรบอกอะไรกับ ผถห.-นลท.

ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในวงการตลาดทุนมากว่า 30 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตลาดหุ้นไทยสาหัสที่สุด!!! ไม่เคยเจอบรรยากาศที่แย่แบบนี้มาก่อน และมองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นปัจจัยที่จะทำให้ SET INDEX ของเราเทิร์นอะราวด์กลับมาได้ในระยะเวลาจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี และไม่รู้ว่าพวกเราต้องอยู่กับสถานการณ์นี้ไปอีกนานแค่ไหน???
ต้นเหตุของเรื่องกล่าวโดยสรุปคือ "สงครามการค้า" ที่สหรัฐเป็นผู้ก่อ โดยเฉพาะในเรื่องของการขึ้นภาษีที่เรียกว่าดุเดือดชนิดที่เรียกได้ว่า “ชีวิตนี้เพิ่งจะเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก” และมีการตอบโต้กลับมาจากผู้ที่ถูกกระทำและไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงแบบไหน-เมื่อใด-อย่างไร??? โดนกันเกือบทั้งโลกก็ว่าได้!!! หันกลับมามองที่ประเทศไทยเราเอง ยังไม่เห็นสัญญาณของการเทิร์นอะราวด์กลับมาได้เลย!!! นอกจากโดนสหรัฐเล่นงานเรื่องตั้งกำแพงภาษีกว่า 37% แล้ว แผนกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศเองยังไม่เห็นสัญญาณเชิงบวกเลย!!!
เมื่อภาพใหญ่เรามองไม่เห็นโอกาสฟื้นตัว..เช่นนั้นจะหวังให้ “ตลาดหุ้น” ฟื้นตัวได้อย่างไร
บริษัทที่กำลังเตรียมตัวจะระดมทุนและเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังสามารถเหยียบเบรกได้ทัน!! เพื่อรอดูสถานการณ์ให้กระจ่างชัดซะก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ..แต่สำหรับบริษัทที่เข้ามาแล้วและวันนี้อยู่ในสถานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้วล่ะ!! ต้องทำอย่างไร..เพื่อประคองสถานการณ์ของราคาหุ้นไม่ให้ลงหนักเกินปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็น เพราะตอนนี้เป็นผลอันเกิดจากจิตวิทยาหมู่ของนักลงทุนแพนิคขาย!!! ไม่ได้มองหรือประเมินราคาหุ้นจากปัจจัยพื้นฐาน แต่เป็นเรื่องของอารมณ์และความรู้สึกล้วน ๆ ที่ผันแปรไปกับภาพที่เห็นตรงหน้าคือสภาวะโดยรวมของตลาดหุ้นทั้งโลกที่ดิ่งลงอย่างหนัก
เมื่อสถานการณ์ตลาดหุ้นสาหัสขนาดนี้! ควรบอกอะไรกับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน เพื่อให้หุ้นของบริษัทเกิดผลกระทบน้อยที่สุด ไม่ให้เกิดการแพนิคไปตามกระแสที่เชี่ยวกรากในตอนนี้
ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Investor relations และ Public relation บอกได้เลยว่าเรื่องแรกสุดที่จะเบรกแรงกระแทกได้เป็นอย่างดีคือ “ความเชื่อมั่น” ที่ต้องทำให้นักลงทุนรู้สึกมั่นใจและปลอดภัยเมื่อลงทุนในหุ้นบริษัทนั้นๆ
คำถามต่อมา..แล้วจะสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างไร? แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่สามารถสร้างได้ภายในเวลาอันสั้น แต่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาบ่มเพาะเพื่อสร้างการรับรู้ให้สถิตอยู่ในใจของนักลงทุน เพื่อให้มีเวลาได้เห็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ปัจจัยพื้นฐานได้ ทั้งจากผลประกอบการ พฤติกรรม+วิชั่นของผู้บริหาร รายละเอียดของธุรกิจ+แผนกลยุทธ์+แนวโน้มในอนาคต ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดต้องสื่อสารออกมาสู่กลุ่มเป้าหมายให้รับรู้อย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ อาทิ การแถลงข่าว ,ข่าวประชาสัมพันธ์ , ภาพข่าวประชาสัมพันธ์ , ข่าวกอสซิป , สัมภาษณ์พิเศษ , รายงานพิเศษ , โรดโชว์ , จัดประชุมนักวิเคราะห์ , กิจกรรม Opportunity Day , กิจกรรม Company Visit , ทำกราฟฟิกบอกเล่าเรื่องราวสั้นๆ ที่น่าสนใจต่างๆ และที่ขาดไม่ได้ในการสื่อสารยุคนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ข้อมูลในวงกว้างให้มากยิ่งขึ้น คือการนำเสนอผ่านช่องทางโซเชี่ยลมีเดีย อาทิ Facebook , YouTube , TikTok , X เป็นต้น
ที่เล่ามานี้คือจุดเริ่มต้นของการสร้าง “ความเชื่อมั่น” ซึ่งหากทำสำเร็จแล้ว ผลที่ได้รับคือผู้ถือหุ้นและนักลงทุนมั่นใจที่จะถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ เพื่อลงทุนในระยะยาว สามารถทนต่อความหวั่นไหวแม้เกิดสถานการณ์เชิงลบขึ้น หรือส่งผลกระทบกับราคาหุ้นไม่ให้อ่อนไหวหรือลดลงมากเกินไปนัก หากเกิดสถานการณ์ที่เป็นอย่างในปัจจุบันนี้ นั่นเป็นเพราะว่าผู้ลงทุนเข้าใจถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท รวมถึงเห็นพฤติกรรม และวิชั่นของผู้บริหารจากอดีตจนถึงปัจจุบัน แล้ววันหนึ่งเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงหุ้นเหล่านี้จะเป็นตัวนำตลาดหุ้นแถวแรกๆ ที่ราคาเด้งกลับไปก่อนใคร
แต่อีกคำถามคือ..ในเมื่อตลาดหุ้นไม่ดีอยู่แล้ว จะทำไปทำใม ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์ เรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของการมองต่างมุมดีกว่า แต่สำหรับ “ไออาร์ เน็ตเวิร์ค” ซึ่งเป็นมืออาชีพและคลุกคลีในวงการนี้มากกว่า 15 ปี ให้คำแนะนำว่า “ทำ-ดีกว่า-ไม่ทำ” เพราะยิ่งในภาวะวิกฤติ ผู้ลงทุนยิ่งต้องการข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ หากพวกเขาไม่ได้รับการสื่อสารใดๆ เลย หุ้นตัวนั้นจะเป็นตัวแรกที่โดนถล่มขายออกมาก่อน แต่ถ้าได้รับรู้ข่าวสารความเคลื่อนไหว อาทิ แผนการจัดการปัญหา กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ อย่างน้อยจะทำให้รู้ว่าบริษัทนั้นพร้อมยืนหยัดเคียงข้างและสู้ไปผู้ถือหุ้นทุกคน นี่คือการซื้อใจด้วยใจที่จะทำให้ผู้ถือหุ้นเชื่อมั่นและพร้อมก้าวเดินไปกับบริษัทเพื่อการเติบโตด้วยกันต่อไปในอนาคต